Post by ดร.ภาคิน ธราธรศิริ on Sept 22, 2015 13:16:39 GMT
Paradigm แบบไทยๆ ที่ถ่วงความเจริญของคนไทยไว้
1. ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ ที่สื่อทำนองใครจะทำอะไรก็เรื่องของเขา อย่าไปยุ่ง
สมัยนี้ไม่ได้แล้วนะครับ เพราะนอกจากจะเห็นทั้งสงฆ์ทั้งชีทำชั่วกันเต็มเมืองแล้ว คนยังทำชั่วกันตามถนนหนทางไม่อายผู้คน เพราะคติที่เราสอนกัน ให้อย่าไปยุ่งเรื่องคนอื่น อะไรที่ไม่เกี่ยวกับเราอย่าไปสนใจ ความคิดนี้ไม่จริงนะครับ ทุกเรื่องมันเกี่ยวกับเราทั้งนั้นแหละครับ เพราะการปล่อยให้คนทำผิดแล้วไม่ไปบอกกล่าว ไม่ทำโทษ จะทำให้เยาวชนถือเป็นแบบอย่างและทำตามเมื่อโตขึ้น ถึงวันนั้นไม่มีวิธีแก้แล้วนะครับ
2. พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง ที่มีความหมายไปในทางให้นิ่งเฉยไว้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เงียบไว้ดีกว่า แนวความคิดนี้ปล่อยไปเรื่อยๆ ปัญหาชาติบ้านเมืองจะใหญ่ขึ้นครับ เพราะคนส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่แสดงความเห็น คนส่วนน้อยเลยเอาประโยชน์จากความเพิกเฉยนี้ ในที่สุดเราก็จะเดือดร้อนกันทุกคน
3. ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม ยุคสมัยนี้อะไรที่เร็วได้ยิ่งดีครับ ดูอย่างสมัยรัชกาลที่ 5 เรารีบทำรถไฟก่อนใคร พัฒนากองทัพก่อนใคร เลิกทาสก่อนใคร วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจก่อนใคร กษัตริย์ไทยเสด็จทรงเปิดหูเปิดตายอมรับความเจริญจากตะวันตกก่อนใคร ประเทศชาติจึงเจริญมาก หลังจากนั้นถือคติช้าๆ หมดเลย แล้วบ้านเมืองเราก็ย่ำอยู่กับที่มาตลอดหลังจากนั้น
4. ปากว่าตาขยิบ นิสัยและพฤติกรรมแบบศรีธนญชัย ตอนนี้เป็นนิสัยประจำชาติไปแล้วนะครับ คนไทยเวลารับปากสัญญา พูดจา กับการกระทำสามารถเปลี่ยนแปลงได้ พูดอะไรแล้วไม่ต้องทำก็ได้ สัญญาอะไรอาจไม่ต้องให้เป็นไปตามสัญญาก็ได้ ตอนนี้เป็นกันหมดทุกสังคมแล้ว พูดอย่างทำอย่างเป็นเรื่องปกติธรรมดา เกือบทุกคนที่เป็นคนไทยถือเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว สังคมที่ไม่รักษาคำพูด ไม่มีความซื่อสัตย์ แล้วจะอยู่กันได้อย่างไร
5. เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด โลกยุคนี้เปลี่ยนเร็วมาก จนผู้ใหญ่ตามไม่ทันแล้วครับ ที่จริงต้องวิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก แล้วมากำหนดกันว่าเด็กกับผู้ใหญ่ควรจะมีบทบาทอย่างไรที่ช่วยเกื้อหนุนกัน ถ้าเอาแต่บังคับเด็กให้เป็นอย่างผู้ใหญ่เมื่อ 20-30 ปีก่อน ก็มีแต่ความขัดแย้งครับ เด็กกับผู้ใหญ่จะไม่เข้าใจกันมากขึ้น และเด็กจะเลิกสนใจคำพูดของผู้ใหญ่เมื่อถึงวันที่เขาหนีออกจากบ้านได้ มันน่ากลัวมากกว่าที่ผู้ใหญ่จะยอมลดราวาศอกแล้วฟังเด็กบ้าง
1. ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ ที่สื่อทำนองใครจะทำอะไรก็เรื่องของเขา อย่าไปยุ่ง
สมัยนี้ไม่ได้แล้วนะครับ เพราะนอกจากจะเห็นทั้งสงฆ์ทั้งชีทำชั่วกันเต็มเมืองแล้ว คนยังทำชั่วกันตามถนนหนทางไม่อายผู้คน เพราะคติที่เราสอนกัน ให้อย่าไปยุ่งเรื่องคนอื่น อะไรที่ไม่เกี่ยวกับเราอย่าไปสนใจ ความคิดนี้ไม่จริงนะครับ ทุกเรื่องมันเกี่ยวกับเราทั้งนั้นแหละครับ เพราะการปล่อยให้คนทำผิดแล้วไม่ไปบอกกล่าว ไม่ทำโทษ จะทำให้เยาวชนถือเป็นแบบอย่างและทำตามเมื่อโตขึ้น ถึงวันนั้นไม่มีวิธีแก้แล้วนะครับ
2. พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง ที่มีความหมายไปในทางให้นิ่งเฉยไว้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เงียบไว้ดีกว่า แนวความคิดนี้ปล่อยไปเรื่อยๆ ปัญหาชาติบ้านเมืองจะใหญ่ขึ้นครับ เพราะคนส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่แสดงความเห็น คนส่วนน้อยเลยเอาประโยชน์จากความเพิกเฉยนี้ ในที่สุดเราก็จะเดือดร้อนกันทุกคน
3. ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม ยุคสมัยนี้อะไรที่เร็วได้ยิ่งดีครับ ดูอย่างสมัยรัชกาลที่ 5 เรารีบทำรถไฟก่อนใคร พัฒนากองทัพก่อนใคร เลิกทาสก่อนใคร วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจก่อนใคร กษัตริย์ไทยเสด็จทรงเปิดหูเปิดตายอมรับความเจริญจากตะวันตกก่อนใคร ประเทศชาติจึงเจริญมาก หลังจากนั้นถือคติช้าๆ หมดเลย แล้วบ้านเมืองเราก็ย่ำอยู่กับที่มาตลอดหลังจากนั้น
4. ปากว่าตาขยิบ นิสัยและพฤติกรรมแบบศรีธนญชัย ตอนนี้เป็นนิสัยประจำชาติไปแล้วนะครับ คนไทยเวลารับปากสัญญา พูดจา กับการกระทำสามารถเปลี่ยนแปลงได้ พูดอะไรแล้วไม่ต้องทำก็ได้ สัญญาอะไรอาจไม่ต้องให้เป็นไปตามสัญญาก็ได้ ตอนนี้เป็นกันหมดทุกสังคมแล้ว พูดอย่างทำอย่างเป็นเรื่องปกติธรรมดา เกือบทุกคนที่เป็นคนไทยถือเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว สังคมที่ไม่รักษาคำพูด ไม่มีความซื่อสัตย์ แล้วจะอยู่กันได้อย่างไร
5. เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด โลกยุคนี้เปลี่ยนเร็วมาก จนผู้ใหญ่ตามไม่ทันแล้วครับ ที่จริงต้องวิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก แล้วมากำหนดกันว่าเด็กกับผู้ใหญ่ควรจะมีบทบาทอย่างไรที่ช่วยเกื้อหนุนกัน ถ้าเอาแต่บังคับเด็กให้เป็นอย่างผู้ใหญ่เมื่อ 20-30 ปีก่อน ก็มีแต่ความขัดแย้งครับ เด็กกับผู้ใหญ่จะไม่เข้าใจกันมากขึ้น และเด็กจะเลิกสนใจคำพูดของผู้ใหญ่เมื่อถึงวันที่เขาหนีออกจากบ้านได้ มันน่ากลัวมากกว่าที่ผู้ใหญ่จะยอมลดราวาศอกแล้วฟังเด็กบ้าง