Post by ดร.ภาคิน ธราธรศิริ on Feb 3, 2016 6:15:30 GMT
แม่ครับ ดับฝันของลูกทำไม
สัญชาติญาณของความเป็นแม่ย่อมอยากให้ลูกได้ดี มีความสุข ชีวิตก้าวหน้าจะมีแม่คนไหนล่ะที่คิดร้ายต่อลูก ความคิดนี้ดูเป็นเพียงอุดมคติเมื่อพบว่า ครอบครัวจำนวนไม่น้อย ที่คนเป็นแม่ทำให้ลูกไม่อาจได้ดี มีความสุขหรือมีชีวิตที่ก้าวหน้า ปรากฎการณ์ในสังคมทำให้เราเห็นได้จริงๆ ว่าแม่บางคนทำร้ายทำลาย และรังแกลูกตัวเอง อาจด้วยความเจตนา หรือบางทีไมได้ตั้งใจ พลั้งเผลอ บางรายเข้าใจผิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นดีและถูกต้อง แต่ผลร้ายกลับทำให้คนที่เป็นลูกมีชีวิตที่เลวร้ายลงกว่าเดิม
เริ่มตั้งแต่เรื่องการเรียนของลูกๆ หลายๆบ้านมักบูชาแต่การมีโอกาสได้เรียนหนังสือสถาบันที่โดดเด่น และได้ทำงานในที่ๆพ่อแม่มีโอกาสพูดจาโอ้อวดเพื่อนบ้าน โดยมองข้ามความรู้สึก อารมณ์และเป้าหมายใฝ่ฝันของลูก หรือบางทีสร้างแนวคิดสำเร็จรูป วาดฝัน จินตนาการ สร้างแนวความคิดรวบยอดให้ลูกว่าเรียนยังงั้นยังงี้แล้วจะดีมีความสุข ซ้ำร้ายกว่านั้น บอกเจตนากันตรงๆ โต้งเลยว่า “ลูกเรียนสาขานี้ที่มหาวิทยาลัยนี้แล้วแม่จะภูมิใจ”
จะพบว่ามีตั้งแต่ลูกที่เห็นดีเห็นงามด้วยกับพ่อแม่ เพราะถูกป้อนข้อมูลปลูกฝังมาแต่เด็กตั้งแต่ลูกๆ ยังไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง พร่ำสอน ให้ข้อมูลชี้แนวทางเฉพาะที่คนเป็นแม่ต้องการจนลูกคิด นึกและเชื่อเอาจริงๆ ว่าทำอย่างที่แม่ต้องการแล้วชีวิตจะดีขึ้น ถ้าเด็กทำตามแล้วดีปัญหาก็ไม่น่าจะเกิด แต่ทีนี้จะมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่ทำตามแล้วไม่ดี บางรายเรียนไปสักพักหนึ่งพบว่าที่เรียนอยู่นั้นไม่ใช่ความชอบความสนใจของตัวเองก็อยากจะเปลี่ยน แต่หากแม่ไม่ยอมรับไม่เข้าใจ ก็ต้องมีการบังคับ กดดัน บีบคั้น
ปัญหาที่เกิดจากความรักของแม่จึงเริ่มเกิดขึ้นที่ตรงนี้ แม่ลูกกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน ลูกไม่อยากเรียนแล้วในสิ่งที่แม่กำหนดบังคับ ขณะเดียวกันก็ยังนึกไม่ออกว่าตัวเองอยากจะร่ำเรียนอะไรเพื่อเอามาเป็นวิชาชีพเลี้ยงตัวเองในอนาคต
แม่บางคนใส่ใจลูกมากจนเกินเหตุ ลงในรายละเอียดมากขนาดทุกอย่างที่ลูกทำ ทุกฝีก้าวที่ลูกเดิน และทุกความคิดที่ลูกมี ขนาดว่าดินสอกดแท่งละ 5 บาท แม่บางคนยังบังคับเอาได้ว่าลูกจะต้องเลือกลายการ์ตูนแบบไหนแม่ถึงจะพอใจ สีและรูปร่างหน้าตาของเสื้อผ้า ของใช้ หรือแม้แต่ของเล่น ไม่ใช่เลือกให้ที่ว่าจะปลอดภัยกับลูกไหม จะเหมาะสมกับเด็กวัยนี้หรือเปล่า แต่เลือกให้ชนิดที่เรียกว่า ความพอใจของแม่เท่านั้นคือสิ่งที่ลูกจะต้องเลือกปฏิบัติ ลูกต้องแต่งตัวในรูปแบบสีสันที่แม่ชอบ เลือกของใช้ในแบบที่แม่กำหนด ทำจนกระทั่งลูกไม่มีโอกาสเข้าใจและเรียนรู้คำว่า ความเป็นตัวของตัวเอง การเลือกตัดสินใจด้วยตัวเอง
หลายบ้านที่มีปัญหาอย่างนี้ ลูกๆ พอเริ่มโตจึงเริ่มทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อพ่อแม่ ต่อต้านก้าวร้าวและทำท่าทีเฉยเมยไม่แยแสพ่อแม่ พ่อแม่ก็มาร้องไห้ฟุมฟายว่าเดี๋ยวนี้ลูกดื้อ ไม่รักพ่อแม่ทำตัวห่างเหิน โทษโรงเรียน โทษเพื่อนนักเรียน โทษครู โทษสังคม โทษรายการทีวี และโทษลูกตัวเองว่าเป็นเด็กไม่รักดี อกตัญญู เนรคุณแม่ แต่ไม่เคยสักครั้งที่จะพินิจพิจารณาและมองหาปัญหาที่แท้จริงที่เกิดจากตัวเอง อยากได้ลูกตัวเล็กๆ คนเดิมที่ว่านอนสอนง่าย ไร้พิษสง ไร้ความคิดรับผิดชอบชั่วดี พ่อแม่สั่งอะไรลูกก็ยอมทำตาม
ที่ลูกเป็นอย่างนั้นตอนเด็กก็เพราะว่าเขายังเด็ก เป็นวัยที่ได้แต่เรียนรู้ ยังไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น แต่พอเริ่มโต มีวิจารณญาณของตัวเอง มีความคิดเป็นของตัวเอง รู้จักเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียน เรียนรู้และเข้าใจวิธีปฏิบัติที่พ่อแม่เพื่อนๆ ที่เขาเป็นคนมีเหตุผลและรักลูกอย่างถูกทางที่เขาทำกัน ก็รู้ว่าสิ่งที่แม่ตัวเองทำนั้นเป็นความไม่ถูกต้องปราศจากเหตุผล มีแต่ความพอใจอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัว
แม่อย่างนี้ก็ได้แต่พร่ำร้องว่าอยากได้ลูกที่ว่านอนสอนง่ายเชื่อฟังพ่อแม่ ลูกเล็กๆ ที่เคยเป็นตุ๊กตาของแม่ ลูกตัวน้อยที่ทำตาแป๋วแหววไม่รู้รับผิดชอบชั่วดี ยิ้มหัวเหราะและพยักหน้าให้กับทุกการกระทำของแม่ ทุกการสอนสั่ง และกับทุกการพร่ำสอนของผู้เป็นแม่โดยไม่ต้องมีวิจารณญาณ โดยไม่ต้องหาเหตุผลว่าถูกควรหรือไม่อย่างไร เพราะเขาเป็นแม่ แม่ย่อมรักลูกทุกคน แม่ย่อมอยากให้ลูกได้ในสิ่งที่ดีๆ เสมอมาและเสมอไป ความจริงแล้วเราอยากได้ลูกที่ว่านอนสอนง่ายจริงหรือ ถ้าเราอยากได้ลูกที่ว่านอนสอนง่าย ไม่ต้องคิดไตร่ตรอง ไม่ต้องแสดงความเป็นตัวเอง ไม่ต้องใช้เหตุผลอะไรอีก
เพราะเหตุผลของแม่ย่อมถูกเสมอ เราจะได้ผู้ใหญ่ที่ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ปราศจากการยั้งคิด เป็นลูกแหง่รอแต่ให้แม่สอนสั่งเสมอ และช่วยตัวเองไมได้ไปตลอดชีวิต ความจริงแล้วเราอยากได้ผู้ใหญ่แบบไหนกันที่จะเติบโตเป็นคนที่ช่วยเหลือตัวเองได้ เราอยากได้ผู้ใหญ่แบบไหนกันที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในสังคมในการพัฒนาชาติบ้านเมือง เราอยากได้ผู้ใหญ่แบบไหนกันที่จะเป็นแบบอย่างที่จะเป็นพ่อแม่คนสืบต่อกันไปในอนาคต เราอยากได้ผู้ใหญ่แบบไหนกัน ที่จะรู้สึกถึงความเสมอภาคของตัวเองกับคนอื่นในสังคม ไม่คิดว่าคนอื่นต่ำต้อยเกินกว่าจะอยู่ร่วมกันในสังคม หรือไม่คิดว่าตัวเองต่ำต้อยเกินกว่าที่จะอยู่ร่วมสังคมเดียวกันกับคนอื่นๆ
ความจริงแล้วเราอยากได้ลูกที่คิดเองได้ช่วยตัวเองเป็นต่างหาก คิดเองเป็นคนรู้รับผิดชอบชั่วดี รู้เองว่าอะไรควรไม่ควร และรู้เองว่าเราต่างหากที่มีหน้าที่ตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง เลือกเรียน เลือกมีและเลือกเป็นในสิ่งที่ตัวเองต้องการ และเป็นคนช่วยตัวเองได้ไม่เป็นภาระของคนอื่น ทั้งด้านอารมณ์ ความคิด หน้าที่การงาน มาถึงตรงนี้แม่บางคนก็ยังทำใจไม่ได้ที่จะให้ลูกเป็นคนคิดเป็นและช่วยตัวเองได้ คิดแต่ว่าให้ลูกทำในสิ่งที่แม่ฝัน ความฝันของลูกเป็นเรื่องรองแม้ว่ามันเป็นฝันของแม่ ไม่ใช่ฝันของลูก หากสิ่งนี้คือชีวิตของลูก อนาคตของลูก แล้วแม่จะดับฝันของลูกทำไม
สัญชาติญาณของความเป็นแม่ย่อมอยากให้ลูกได้ดี มีความสุข ชีวิตก้าวหน้าจะมีแม่คนไหนล่ะที่คิดร้ายต่อลูก ความคิดนี้ดูเป็นเพียงอุดมคติเมื่อพบว่า ครอบครัวจำนวนไม่น้อย ที่คนเป็นแม่ทำให้ลูกไม่อาจได้ดี มีความสุขหรือมีชีวิตที่ก้าวหน้า ปรากฎการณ์ในสังคมทำให้เราเห็นได้จริงๆ ว่าแม่บางคนทำร้ายทำลาย และรังแกลูกตัวเอง อาจด้วยความเจตนา หรือบางทีไมได้ตั้งใจ พลั้งเผลอ บางรายเข้าใจผิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นดีและถูกต้อง แต่ผลร้ายกลับทำให้คนที่เป็นลูกมีชีวิตที่เลวร้ายลงกว่าเดิม
เริ่มตั้งแต่เรื่องการเรียนของลูกๆ หลายๆบ้านมักบูชาแต่การมีโอกาสได้เรียนหนังสือสถาบันที่โดดเด่น และได้ทำงานในที่ๆพ่อแม่มีโอกาสพูดจาโอ้อวดเพื่อนบ้าน โดยมองข้ามความรู้สึก อารมณ์และเป้าหมายใฝ่ฝันของลูก หรือบางทีสร้างแนวคิดสำเร็จรูป วาดฝัน จินตนาการ สร้างแนวความคิดรวบยอดให้ลูกว่าเรียนยังงั้นยังงี้แล้วจะดีมีความสุข ซ้ำร้ายกว่านั้น บอกเจตนากันตรงๆ โต้งเลยว่า “ลูกเรียนสาขานี้ที่มหาวิทยาลัยนี้แล้วแม่จะภูมิใจ”
จะพบว่ามีตั้งแต่ลูกที่เห็นดีเห็นงามด้วยกับพ่อแม่ เพราะถูกป้อนข้อมูลปลูกฝังมาแต่เด็กตั้งแต่ลูกๆ ยังไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง พร่ำสอน ให้ข้อมูลชี้แนวทางเฉพาะที่คนเป็นแม่ต้องการจนลูกคิด นึกและเชื่อเอาจริงๆ ว่าทำอย่างที่แม่ต้องการแล้วชีวิตจะดีขึ้น ถ้าเด็กทำตามแล้วดีปัญหาก็ไม่น่าจะเกิด แต่ทีนี้จะมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่ทำตามแล้วไม่ดี บางรายเรียนไปสักพักหนึ่งพบว่าที่เรียนอยู่นั้นไม่ใช่ความชอบความสนใจของตัวเองก็อยากจะเปลี่ยน แต่หากแม่ไม่ยอมรับไม่เข้าใจ ก็ต้องมีการบังคับ กดดัน บีบคั้น
ปัญหาที่เกิดจากความรักของแม่จึงเริ่มเกิดขึ้นที่ตรงนี้ แม่ลูกกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน ลูกไม่อยากเรียนแล้วในสิ่งที่แม่กำหนดบังคับ ขณะเดียวกันก็ยังนึกไม่ออกว่าตัวเองอยากจะร่ำเรียนอะไรเพื่อเอามาเป็นวิชาชีพเลี้ยงตัวเองในอนาคต
แม่บางคนใส่ใจลูกมากจนเกินเหตุ ลงในรายละเอียดมากขนาดทุกอย่างที่ลูกทำ ทุกฝีก้าวที่ลูกเดิน และทุกความคิดที่ลูกมี ขนาดว่าดินสอกดแท่งละ 5 บาท แม่บางคนยังบังคับเอาได้ว่าลูกจะต้องเลือกลายการ์ตูนแบบไหนแม่ถึงจะพอใจ สีและรูปร่างหน้าตาของเสื้อผ้า ของใช้ หรือแม้แต่ของเล่น ไม่ใช่เลือกให้ที่ว่าจะปลอดภัยกับลูกไหม จะเหมาะสมกับเด็กวัยนี้หรือเปล่า แต่เลือกให้ชนิดที่เรียกว่า ความพอใจของแม่เท่านั้นคือสิ่งที่ลูกจะต้องเลือกปฏิบัติ ลูกต้องแต่งตัวในรูปแบบสีสันที่แม่ชอบ เลือกของใช้ในแบบที่แม่กำหนด ทำจนกระทั่งลูกไม่มีโอกาสเข้าใจและเรียนรู้คำว่า ความเป็นตัวของตัวเอง การเลือกตัดสินใจด้วยตัวเอง
หลายบ้านที่มีปัญหาอย่างนี้ ลูกๆ พอเริ่มโตจึงเริ่มทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อพ่อแม่ ต่อต้านก้าวร้าวและทำท่าทีเฉยเมยไม่แยแสพ่อแม่ พ่อแม่ก็มาร้องไห้ฟุมฟายว่าเดี๋ยวนี้ลูกดื้อ ไม่รักพ่อแม่ทำตัวห่างเหิน โทษโรงเรียน โทษเพื่อนนักเรียน โทษครู โทษสังคม โทษรายการทีวี และโทษลูกตัวเองว่าเป็นเด็กไม่รักดี อกตัญญู เนรคุณแม่ แต่ไม่เคยสักครั้งที่จะพินิจพิจารณาและมองหาปัญหาที่แท้จริงที่เกิดจากตัวเอง อยากได้ลูกตัวเล็กๆ คนเดิมที่ว่านอนสอนง่าย ไร้พิษสง ไร้ความคิดรับผิดชอบชั่วดี พ่อแม่สั่งอะไรลูกก็ยอมทำตาม
ที่ลูกเป็นอย่างนั้นตอนเด็กก็เพราะว่าเขายังเด็ก เป็นวัยที่ได้แต่เรียนรู้ ยังไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น แต่พอเริ่มโต มีวิจารณญาณของตัวเอง มีความคิดเป็นของตัวเอง รู้จักเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียน เรียนรู้และเข้าใจวิธีปฏิบัติที่พ่อแม่เพื่อนๆ ที่เขาเป็นคนมีเหตุผลและรักลูกอย่างถูกทางที่เขาทำกัน ก็รู้ว่าสิ่งที่แม่ตัวเองทำนั้นเป็นความไม่ถูกต้องปราศจากเหตุผล มีแต่ความพอใจอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัว
แม่อย่างนี้ก็ได้แต่พร่ำร้องว่าอยากได้ลูกที่ว่านอนสอนง่ายเชื่อฟังพ่อแม่ ลูกเล็กๆ ที่เคยเป็นตุ๊กตาของแม่ ลูกตัวน้อยที่ทำตาแป๋วแหววไม่รู้รับผิดชอบชั่วดี ยิ้มหัวเหราะและพยักหน้าให้กับทุกการกระทำของแม่ ทุกการสอนสั่ง และกับทุกการพร่ำสอนของผู้เป็นแม่โดยไม่ต้องมีวิจารณญาณ โดยไม่ต้องหาเหตุผลว่าถูกควรหรือไม่อย่างไร เพราะเขาเป็นแม่ แม่ย่อมรักลูกทุกคน แม่ย่อมอยากให้ลูกได้ในสิ่งที่ดีๆ เสมอมาและเสมอไป ความจริงแล้วเราอยากได้ลูกที่ว่านอนสอนง่ายจริงหรือ ถ้าเราอยากได้ลูกที่ว่านอนสอนง่าย ไม่ต้องคิดไตร่ตรอง ไม่ต้องแสดงความเป็นตัวเอง ไม่ต้องใช้เหตุผลอะไรอีก
เพราะเหตุผลของแม่ย่อมถูกเสมอ เราจะได้ผู้ใหญ่ที่ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ปราศจากการยั้งคิด เป็นลูกแหง่รอแต่ให้แม่สอนสั่งเสมอ และช่วยตัวเองไมได้ไปตลอดชีวิต ความจริงแล้วเราอยากได้ผู้ใหญ่แบบไหนกันที่จะเติบโตเป็นคนที่ช่วยเหลือตัวเองได้ เราอยากได้ผู้ใหญ่แบบไหนกันที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในสังคมในการพัฒนาชาติบ้านเมือง เราอยากได้ผู้ใหญ่แบบไหนกันที่จะเป็นแบบอย่างที่จะเป็นพ่อแม่คนสืบต่อกันไปในอนาคต เราอยากได้ผู้ใหญ่แบบไหนกัน ที่จะรู้สึกถึงความเสมอภาคของตัวเองกับคนอื่นในสังคม ไม่คิดว่าคนอื่นต่ำต้อยเกินกว่าจะอยู่ร่วมกันในสังคม หรือไม่คิดว่าตัวเองต่ำต้อยเกินกว่าที่จะอยู่ร่วมสังคมเดียวกันกับคนอื่นๆ
ความจริงแล้วเราอยากได้ลูกที่คิดเองได้ช่วยตัวเองเป็นต่างหาก คิดเองเป็นคนรู้รับผิดชอบชั่วดี รู้เองว่าอะไรควรไม่ควร และรู้เองว่าเราต่างหากที่มีหน้าที่ตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง เลือกเรียน เลือกมีและเลือกเป็นในสิ่งที่ตัวเองต้องการ และเป็นคนช่วยตัวเองได้ไม่เป็นภาระของคนอื่น ทั้งด้านอารมณ์ ความคิด หน้าที่การงาน มาถึงตรงนี้แม่บางคนก็ยังทำใจไม่ได้ที่จะให้ลูกเป็นคนคิดเป็นและช่วยตัวเองได้ คิดแต่ว่าให้ลูกทำในสิ่งที่แม่ฝัน ความฝันของลูกเป็นเรื่องรองแม้ว่ามันเป็นฝันของแม่ ไม่ใช่ฝันของลูก หากสิ่งนี้คือชีวิตของลูก อนาคตของลูก แล้วแม่จะดับฝันของลูกทำไม