Post by ดร.ภาคิน ธราธรศิริ on Oct 25, 2016 3:02:28 GMT
Home School ประสบการณ์ที่ได้รับจากพ่อแม่ที่ทำเรื่องนี้แล้วมาขอคำปรึกษา
คิดให้มากๆ เลยครับหากตั้งใจจะทำ จริงน่ามีทำวิจัยนะ ว่าบ้านที่ทำ home school ในไทยประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน
แน่นอน อาจมีบ้านที่ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ แต่น่าจะน้อยมาก เพราะการจัดการศึกษาแบบนี้ ต้องมีความพร้อมหลายด้าน
คุณพ่อแม่ที่คิดจะทำ ต้องเก่งมากในระดับหนึ่ง และต้องเก่งหลายอย่าง คือ 1. เก่งหลักสูตร 2. เก่งสอน 3. เก่งสร้างสภาพ
แวดล้อมแห่งการเรียนรู้ 4. เก่งวัดและประเมินผล 5. เก่งจิตวิทยา พฤกติกรรมนิยม และมนุษยสัมพันธ์เด็ก 6. รู้ข้อดีข้อด้อย
และขจัดปัญหาในอุดมคติและพฤติกรรมการเลี้ยงดูลูกแบบไทยๆ 7. ต้องมีเวลาและความใส่ใจมากกว่าปกติ
ในหลายปีที่ผมมีส่วนรู้เห็นและเกี่ยวข้องบ้าง พบว่า เด็กหลายคนขาดทักษะในการทำงานร่วมกับคนอื่น/ การมีมนุษยสัมพันธ์
ที่เหมาะสม/ การมีโลกทัศน์เดี่ยวและไม่ยืดหยุ่น/ ขาดทักษะในการับมือกับความแตกต่าง ความเปลี่ยนแปลง ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้พัฒนาไปถึงขั้นทำให้เด็กสับสน ปฏิบัติตัวไม่ถูกกับสังคมภายนอก ขาดความมั่นใจตัวเอง ไม่กล้าเผชิญปัญหาและอุปสรรค
เมื่อเด็กใช้ชีวิตและเรียนรู้อยู่แต่ในสังคมปิด สังคมเดี่ยว และมีบรรทัดฐานเดียวกับสิ่งต่างๆ รอบตัว ยิ่งอยู่ในสภาพแวดล้อมนานเท่าไหร่
เมื่อต้องออกไปสู่โลกภายนอกยิ่งยากลำบากในการปรับตัว
พ่อแม่บางคนเถียงว่า ฉันก็พาลูกออกไปเที่ยว ออกไปเล่น ไปคลุกคลีกับเด็กนอกบ้าน แต่บรรยากาศและความกดดันมันก็ไม่มีทาง
เหมือนการไปโรงเรียน ไปพบคนหมู่มากเป็นร้อยเป็นพัน ไปพบคนที่มาจากสังคมหลากหลาย และต้องฝึกฝนที่จะเรียนรู้ เข้าใจ
และยอมรับการอยู่ในห้องเรียนวันละหลายชั่วโมง อยู่ในโรงเรียนปีละหลายเดือน ผมพบว่า เด็กจาก home school ไม่สามารถ
อดทนกับสภาพเหล่านี้ได้ กลายเป็นต้องใช้เวลาหลายเดือนในการปรับตัว ยิ่งโตยิ่งปรับตัวยากมากขึ้น
เมื่อเริ่มคิดถึง home school ให้พิจารณาทั้งตัวเองและสภาพแวดล้อมมากๆ ครับ ว่ามีความพร้อมจริงๆ หรือไม่ หรือแค่อยากทำ
คิดให้มากๆ เลยครับหากตั้งใจจะทำ จริงน่ามีทำวิจัยนะ ว่าบ้านที่ทำ home school ในไทยประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน
แน่นอน อาจมีบ้านที่ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ แต่น่าจะน้อยมาก เพราะการจัดการศึกษาแบบนี้ ต้องมีความพร้อมหลายด้าน
คุณพ่อแม่ที่คิดจะทำ ต้องเก่งมากในระดับหนึ่ง และต้องเก่งหลายอย่าง คือ 1. เก่งหลักสูตร 2. เก่งสอน 3. เก่งสร้างสภาพ
แวดล้อมแห่งการเรียนรู้ 4. เก่งวัดและประเมินผล 5. เก่งจิตวิทยา พฤกติกรรมนิยม และมนุษยสัมพันธ์เด็ก 6. รู้ข้อดีข้อด้อย
และขจัดปัญหาในอุดมคติและพฤติกรรมการเลี้ยงดูลูกแบบไทยๆ 7. ต้องมีเวลาและความใส่ใจมากกว่าปกติ
ในหลายปีที่ผมมีส่วนรู้เห็นและเกี่ยวข้องบ้าง พบว่า เด็กหลายคนขาดทักษะในการทำงานร่วมกับคนอื่น/ การมีมนุษยสัมพันธ์
ที่เหมาะสม/ การมีโลกทัศน์เดี่ยวและไม่ยืดหยุ่น/ ขาดทักษะในการับมือกับความแตกต่าง ความเปลี่ยนแปลง ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้พัฒนาไปถึงขั้นทำให้เด็กสับสน ปฏิบัติตัวไม่ถูกกับสังคมภายนอก ขาดความมั่นใจตัวเอง ไม่กล้าเผชิญปัญหาและอุปสรรค
เมื่อเด็กใช้ชีวิตและเรียนรู้อยู่แต่ในสังคมปิด สังคมเดี่ยว และมีบรรทัดฐานเดียวกับสิ่งต่างๆ รอบตัว ยิ่งอยู่ในสภาพแวดล้อมนานเท่าไหร่
เมื่อต้องออกไปสู่โลกภายนอกยิ่งยากลำบากในการปรับตัว
พ่อแม่บางคนเถียงว่า ฉันก็พาลูกออกไปเที่ยว ออกไปเล่น ไปคลุกคลีกับเด็กนอกบ้าน แต่บรรยากาศและความกดดันมันก็ไม่มีทาง
เหมือนการไปโรงเรียน ไปพบคนหมู่มากเป็นร้อยเป็นพัน ไปพบคนที่มาจากสังคมหลากหลาย และต้องฝึกฝนที่จะเรียนรู้ เข้าใจ
และยอมรับการอยู่ในห้องเรียนวันละหลายชั่วโมง อยู่ในโรงเรียนปีละหลายเดือน ผมพบว่า เด็กจาก home school ไม่สามารถ
อดทนกับสภาพเหล่านี้ได้ กลายเป็นต้องใช้เวลาหลายเดือนในการปรับตัว ยิ่งโตยิ่งปรับตัวยากมากขึ้น
เมื่อเริ่มคิดถึง home school ให้พิจารณาทั้งตัวเองและสภาพแวดล้อมมากๆ ครับ ว่ามีความพร้อมจริงๆ หรือไม่ หรือแค่อยากทำ