|
Post by ดร.ภาคิน ธราธรศิริ on Sept 18, 2016 5:12:52 GMT
จิตแห่งแรงดึงดูด Mind of Attraction
ตอน 31
ตัวตนของเราทุกคนเหมือนจิ๊กซอว์ ภาพของเราประกอบขึ้นเป็นตัวเราหลายชิ้นทั้งในส่วนกายภาพและนิสัย บุคลิกพฤติกรรม เช่น ผมดำสลวย จมูกโด่ง ปากสวย หูใหญ่ ตาเป็นประกาย คอยาว อกใหญ่ แขนเรียว เอวเล็ก สะโพกกลม ขายาว ฯลฯ
นิสัย บุคลิกพฤติกรรม เช่น หายใจแรง หน้างอ พูดน้อย ชอบทำหน้าไม่ยี่หระ คิดมาก ใจน้อย ขี้บ่น ขยัน ไม่รอบคอบ ละเอียด ใจใหญ่ ปากหนัก เฮฮา เงียบขรึม จริงจัง เก็บตัว ฯลฯ ภาพของเราจึงเป็นเหมือนจิีกซอว์ที่มีรายละเอียดแตกต่างกันไป แต่จะมีจิ๊กซอว์เด่นที่เป็นตัวนำพาชีวิตเราให้เดินทางไปยังจุดต่างๆ สูงขึ้นก็ได้ ต่ำลงก็ได้
กายภาพหรือรูปลักษณ์ภายนอกเป็นตัวบ่งชี้ความเจริญของชีวิตได้ เช่น การเป็นดารา นางแบบ นักแสดง นักเต้น นักร้อง ผู้ที่ใช้รูปลักษณ์ในการสร้างความเชื่อถือในการนำเสนอ ฯลฯ คนที่ไม่สามารถใช้กายภาพได้เต็มที่ ก็อาจชดเชยได้ด่วยนิสัย บุคลิกพฤติกรรม หรือผู้มีรูปลักษณ์ภายนอกดีอยู่แล้ว การมีนิสัย บุคลิกพฤติกรรมที่ดีด้วย จะเพิ่มศักยภาพในการนำพาตนเองสู่เป้าหมายชีวิตได้ดีขึ้น
|
|
|
Post by ดร.ภาคิน ธราธรศิริ on Sept 18, 2016 5:22:27 GMT
จิตแห่งแรงดึงดูด Mind of Attraction
ตอน 32
คราวหนึ่งที่ดร.ภาคินได้พบกับสตรีผู้ที่กลัวการที่ต้องเจอะเจอกับจิ้งจกเป็นชีวิตจิตใจ เมื่อเธอมาถึงและบอกกล่าวปัญหาของเธอให้ฟัง แม้แต่ขณะที่พูดถึงจิ้งจกสีหน้าและแววตาของเธอ ยังแสดงออกว่าหวาดกลัวจิ้งจกเป็นอย่างยิ่ง มือสั่นปากสั่นอย่างเห็นได้ชัด นี่ถือว่ามากพอแล้วสำหรับข้อพิสูจน์ว่าเธอกลัวจิ้งจกเอามากๆ
เธอบอกว่ากลัวตั้งแต่ตอนเป็นเด็กวัย 12-13 ครั้งหนึ่งเข้านอนขณะกำลังจะเคลิ้มหลับ รู้สึกเหมือนมีอะไรวิ่งกระดึ๊บๆ อยู่ในผ้าห่ม และโดนตัวเธอ เธอตกใจกรีดร้องลั่น วิ่งกระโจนลงมาจากเตียงอย่างไม่คิดชีวิต ผู้ใหญ่พากันแตกตื่นวิ่งมาที่ห้อง และช่วยกันค้นหาว่าสาเหตุที่ทำให้เธอตื่นตกใจรุนแรงนั้นคืออะไร และพบว่า มันคือจิ้งจกตัวหนึ่งที่มุดเข้าไปในผ้าห่ม
เธอวิ่งออกไปนอกห้องและยืนกรานจะไม่กลับเข้าในห้องอีก ตราบใดที่เธอยังไม่เห็นว่าเจ้าจิ้งจกตัวนั้นได้ถูกจับออกมาและโยนออกไปนอกหน้าต่าง ผู้ใหญ่ต้องช่วยกันจับจิ้งจกตัวนั้นอย่างอลหม่าน ความจริงถ้านึกจะจับจิ้งจกกันจริงๆ คงเป็นเรื่องไม่ยาก แต่เพราะว่าไม่มีใครเป็นนักจับจิ้งจกมืออาชีพ และไม่มีใครเตรียมตัวกันมาก่อน การจับจิ้งจกในคืนนั้นจึงเป็นช่วงเวลาแสนยาวนาน เตียง โต๊ะ ตู้ เก้าอี้ ชั้นวางของถูกรื้อถูกค้นกันออกจะขนานใหญ่ ไม่วายที่ฝ้าเพดานต้องถูกไม้ยาวๆ ยันออกให้มันเผยอเกือบจะทุกชิ้น เพื่อไล่เจ้าจิ้งจกตัวน้อยให้จนมุมและโดนจับได้ในที่สุด
|
|
|
Post by ดร.ภาคิน ธราธรศิริ on Oct 15, 2016 7:20:56 GMT
จิตแห่งแรงดึงดูด Mind of Attraction
ตอน 33
ภาพและความรู้สึกของวันนั้นฝังลึกเข้าในจิตใต้สำนึกของเธออย่างเต็มเบ้า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเธอจึงมีอาการเหมือนคนโรคประสาท ก่อนจะเดินเข้าห้องนอนต้องเปิดไฟให้สว่าง เดินเสียงดังๆ เคาะนั่นเคาะนี่ไปเรื่อยๆ เพราะคิดว่าถ้ามีจิ้งจกอยู่มันจะได้ตกใจหนีไปไกลๆ ความกลัวนี้ไม่ได้ลดลง ยิ่งเธอกังวลว่าจะมีจิ้งจกเข้ามาในห้อง ย่อมไม่เป็นอันนอนได้อย่างสงบสุข เธอใช้เทปกาวปิดผนึกทุกซอกทุกมุมทุกช่องว่างที่เธอคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่จิ้งจกจะมุดรอดเข้ามา
พอกลัวจิ้งจกในห้องนอน ก็เริ่มกลัวจิ้งจกในที่อื่นๆ เพราะไม่ว่าจะในครัว ในห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น ห้องรับประทาน หรือแม้แต่ที่ระเบียงนอกบ้าน โอกาสที่จู่ๆ จะประจันหน้ากับจิ้งจกขึ้นมานั้นมีมากทีเดียว อาการของเธอยิ่งเป็นอย่างคนโรคประสาทมากขึ้น ทุกซอกทุกมุมทุกหน้าต่างและประตูของบ้านจะต้องใช้เทปกาวปิดผนึกทั้งหมด ใครเปิดหน้าต่างประตูทิ้งไว้จะโกรธมาก ถ้าได้ยินเสียงจิ้งจกร้องคืนนั้นเธอจะนอนไม่หลับ และถ้าเสียงร้องนั้นเกิดในห้องนอน คืนนั้นเธอจะไม่ยอมเข้านอน
จนโตเป็นผู้ใหญ่ทำงานทำการ ใครๆ ก็รู้กิตติศัพท์ของเธอว่าเป็นเจ้าแม่กลัวจิ้งจก ใครมาแกล้งมาแหย่เป็นอันต้องเลิกคบกันทีเดียว และความกลัวมีมากจนถึงขั้นที่เธอคิดว่าการย้ายไปอยู่คอนโดมิเนียมที่เป็นห้องสี่เหลี่ยมควบคุมสภาพแวดล้อมภายในได้มากกว่า น่าจะช่วยแก้ปัญหาข้อนี้ เธอจึงย้ายไปอยู่คอนโดมิเนียม
|
|
|
Post by ดร.ภาคิน ธราธรศิริ on Oct 15, 2016 7:22:41 GMT
จิตแห่งแรงดึงดูด Mind of Attraction
ตอน 34
ปัญหาดูเหมือนว่าจะแก้ได้ แต่เมื่อเธอแต่งงานต้องไปอยู่กับสามีที่บ้านของเขา บ้านสามีที่เป็นบ้านเดี่ยวมีเนื้อที่บริเวณ ทำให้เธอต้องเผชิญกับปัญหาจิ้งจกอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ เจ้าแม่กลัวจิ้งจกมาอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ สภาพแวดล้อมที่มีแม่สามี ญาติสามี พี่น้องสามีร่วมอยู่ในบ้านด้วย ทุกครั้งที่เธอเจอกับจิ้งจกขึ้นมาจังๆ ต้องกรีดร้องเล่นเอาบ้านแทบแตก และทุกคนต้องช่วยกันตามจับเจ้าจิ้งจกตัวนั้นออกมาให้เธอดู และขว้างออกไปนอกบ้านให้เธอเห็น พร้อมทั้งปิดประตูหน้าต่างงับให้สนิท แล้วเธอจึงจะยอมสงบลงได้
หลายครั้งที่ทำเอาแทบบ้านแตก เพราะแม้แต่สามีก็เริ่มระอาที่จะตามจับเจ้าจิ้งจกตัวน้อยที่วิ่งมุดหนีเข้าไปตามฝ้า หรือบางทีกลับจากธุระดึกดื่นถ้ามีเสียงจิ้งจกร้องทักขึ้นมา เป็นอันว่าคืนนั้นกว่าจะได้นอนกันอาจต้องใช้เวลาอีกชั่วโมงเศษ เพื่อตามหาและจับเจ้าจิ้งจกให้ได้
“เขาบอกจะฟ้องหย่า...” เธอทำสีหน้าละห้อย น้ำตาคลอเบ้า ที่พบว่าสามีไม่อาจปกป้องเธอจากภัยจิ้งจกยักษ์กินคนได้ตลอดรอดฝั่ง เธอมารับการสะกดจิตกล่อมเกลาจิตใต้สำนึก และดีขึ้นโดยลำดับจนสามารถจับจิ้งจกแล้วขว้างออกไปนอกบ้านได้เอง แต่ต้องสัมผัสผ่านกระดาษทิชชูนะครับ หลังจากนั้นจะล้างมืออีกประมาณ 10 นาที แปลว่าดีขึ้นมาก แต่ก็ยังไม่อยากอยู่ร่วมชายคากับจิ้งจกอยู่ดี
|
|
|
Post by ดร.ภาคิน ธราธรศิริ on Oct 15, 2016 7:23:52 GMT
จิตแห่งแรงดึงดูด Mind of Attraction
ตอน 35
แต่ประเด็นการเล่าเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่การรักษาเธอคนนั้น เรื่องราวอยู่ที่วันแรกที่หญิงคนนี้มาปรากฏตัวที่สำนักงานของดร.ภาคิน ก่อนเข้ามาผู้คนต้องถอดรองเท้าและวางเรียงๆ กันอยู่ที่ด้านหน้าสำนักงาน วันนั้นมีรองเท้าของผู้คน ทั้งที่เป็นลูกค้า คนไข้ และพนักงานรวมๆ กันแล้วประมาณ 7 คู่ มีคนไข้ลูกค้าที่ถอดรองเท้าเข้ามานั่งรอร่วมกับเธอประมาณ 3-4 ราย
ที่หน้าออฟฟิศจะมีแมวตัวเมียตัวหนึ่งที่ดร.ภาคินเลี้ยงไว้ตั้งแต่เล็กจนโตเป็นสาว เป็นแมวที่รับมาจากมหาวิทยาลัยราชมงคลวิทยาเขตคลอง 3 ชื่อตาสวย เป็นลูกแมว 1 ใน 7 ตัวที่ผู้ใจบุญมาประกาศในอินเทอร์เน็ตหาคนดูแล เพราะแม่แมวหายตัวไป และลูกแมวเหล่านี้ ถ้าไม่มีใครรับไปดูแล คนดูแลอาคารสถานที่ของมหาวิทยาลัยจำเป็นต้องเอาไปทิ้งริมถนน ปล่อยให้เป็นแมวข้างถนนไป จากที่เดิมเป็นแมวที่แอบซ่อนและขอข้าวกินจากนักศึกษาที่หอพัก
นิสัยเจ้าตาสวยจะชอบคาบเอาอาหารและของเล่นมาโชว์(อาหารของมัน และของเล่นของมัน) หน้าสำนักงานจะมีชุดโต๊ะเก้าอี้หินอ่อนหินขัดชุดหนึ่งตั้งอยู่ วันหนึ่งดร.ภาคินนั่งรับประทานข้าวที่หน้าสำนักงานตรงเก้าอี้นั้น เจ้าตาสวยน่ารักกตัญญูรู้คุณ มันคาบแมลงสาปที่บอบช้ำเหลือประมาณมาวางที่ใกล้ๆ เท้า พอก้มลงมองดู เราหดขาหนีแทบไม่ทัน หรือบางทีจับนกมากินเหลือเศษครึ่งๆ กลางๆ แล้ววางโชว์อวดความเก่งกาจที่หน้าประตูสำนักงาน
|
|
|
Post by ดร.ภาคิน ธราธรศิริ on Oct 15, 2016 7:25:13 GMT
จิตแห่งแรงดึงดูด Mind of Attraction
ตอน 36
วันนั้น สตรีผู้กลัวจิ้งจกระดับเจ้าแม่เมื่อรับการสะกดจิตเสร็จแล้ว ก้าวเดินออกไปจากสำนักงาน กำลังมองหาที่จะใส่รองเท้า แต่แล้วเธอถึงกับกรีดร้องดังลั่น ดร.ภาคินอยู่ในสำนักงานชั้นสองยังได้ยินต้องรีบวิ่งลงไปดู เพราะคิดว่ามีการฆ่ากันตาย
ภาพที่พบนั้นคือ เจ้าตาสวยนั่งพับเพียบสวยงามอยู่ข้างๆ รองเท้าของหญิงคนนั้น พร้อมมีจิ้งจกที่ไร้ชีวิตแล้วตัวหนึ่งวางอยู่บนรองเท้าของเธอ ลักษณะที่ร่างนั้นวางอยู่ บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นการบรรจงวางอย่างประณีตด้วยฝีมือแมวสาวกตัญญูตัวนี้นี่เอง
ขบคิดเท่าไหร่ก็ไม่ได้คำตอบ จะถามเจ้าตาสวยรึก็ไม่รู้ภาษาแมว และคำถามที่เกิดขึ้นในวันนั้นมันซ้อนๆ กันหลายคำถาม คือ ทำไมต้องคาบจิ้งจกมา วันนั้นไม่มีนกไม่มีแมลงสาปหรือ และทำไมต้องวางบนรองเท้าเธอคนนั้น มีรองเท้าอีก 6 คู่ให้วาง ทำไมถึงเลือกรองเท้าคู่นั้น และที่แน่นอนคือ ไม่เคยมีประวัติว่าเจ้าตาสวยจะเอาของกิน(ของมัน)หรือสิ่งของใดๆ มาวางบนรองเท้าของใคร นี่เป็นครั้งแรก และที่สำคัญที่สุดคือ มันนั่งรออยู่ตรงนั้น เหมือนกับเฝ้ารอที่จะให้เจ้าของรองเท้าคู่นั้นออกมา เพื่อบอกว่า “อยากกินจิ้งจกเหรอ เอามาให้แล้วนะ"
|
|
|
Post by ดร.ภาคิน ธราธรศิริ on Oct 15, 2016 7:26:25 GMT
จิตแห่งแรงดึงดูด Mind of Attraction
ตอน 37
อีกคราวที่ดร.ภาคินสนใจมากเกี่ยวกับประสบการณ์ของโน้ต อุดมคนนั้น ที่เล่าเรื่องความกลัวแมลงสาป และมันโผล่เข้ามาในรถพอดิบพอดี ทั้งที่หากใครสักคนจะพยายามปาเหรียญบาทเข้ามาในรถ โดยผ่านช่องว่างที่ขอบกระจก อาจต้องพยายามปาอยู่นานมาก แต่เจ้าแมลงสาปตัวนั้นสามารถบินเข้าในรถของโน้ต เจ้าพ่อกลัวแมลงสาปได้ภายใน 1 กระพือปีก(กลับไปอ่านเรื่องนี้ที่”แมลงสาปของโน้ต อุดม บทก่อนหน้านี้)
อีกตัวอย่างของคนกลัวแมงมุมที่มารักษารายหนึ่ง คำบอกเล่าอันหนึ่งของคนนั้น ที่น่าสนใจคือ ด้วยความกลัวแมงมุมมากๆ ของเธอ จู่ๆ วันหนึ่งที่เธอขับรถอยู่บนถนน พบว่า มีแมงมุมตัวนึงค่อยๆ คลานขึ้นมาตามพวงมาลัยรถ ที่เล่นเอาเธอถึงกับปล่อยพวงมาลัยเฉยๆ ให้รถมันวิ่งชนเสาไฟฟ้าเลย
ดร.ภาคินไม่เคยเจอแมงมุมคลานขึ้นมาตามพวงมาลัยรถเลยตั้งแต่เกิดมา และเชื่อว่าคนอีกจำนวนมากมายมหาศาลน่าจะไม่เคยเจอประสบการณ์แบบนี้ ซึ่งแปลกตรงที่ว่า เมื่อกลัวอะไรทำไมสิ่งนั้นถึงได้โผล่ขึ้นมาอย่างเหมาะเจาะขนาดนี้ มันเหลือเชื่อจะบังเอิญ
|
|
|
Post by ดร.ภาคิน ธราธรศิริ on Oct 15, 2016 7:27:56 GMT
จิตแห่งแรงดึงดูด Mind of Attraction
ตอน 38
แต่หากใช้กฎของพลังดึงดูดมาวิเคราะห์ หลายคนคงสงสัย ในเมื่อคนที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนั้น เขาไม่อยากเจอ เขากลัวจนแทบบ้าแทบคลั่ง แล้วทำไมเขาถึงได้เจอ เป็นเพราะว่าคนเหล่านั้นเขาทำตามกฎแห่งการดึงดูดครบถ้วนทุกข้อโดยไม่รู้ตัว และสิ่งนั้นได้บังเกิดต่อเขาจริงๆ
หรือจริงๆ แล้วมันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ เหมือนที่ใครบางคนแคะขี้มูกแล้วดีดออกไปข้างหน้าอย่างไม่ใยดี แต่ขี้มูกนั้นปลิวไปติดกลางหน้าผากของคนที่เดินผ่านมาพอดิบพอดีกันแน่
แมวรู้สึกถึงความอยากได้จิ้งจกของหญิงคนนั้น แมลงสาปรู้สึกว่าโน้ต อุดมกำลังเรียกหาอยากเป็นเพื่อน แมงมุมรู้สึกได้ว่าใครบางคนกำลังเรียก และก็มาให้เห็นกันตำตา ฯลฯ ปรากฎการณ์เหล่านี้สามารถอธิบายได้ดัวยกฎแห่งการดึงดูด กล่าวคือ
|
|
|
Post by ดร.ภาคิน ธราธรศิริ on Oct 15, 2016 7:28:22 GMT
จิตแห่งแรงดึงดูด Mind of Attraction
ตอน 39
ข้อแรก คนเหล่านั้นเขาคิดถึงสิ่งนั้นตลอดเวลา คิดถึงทุกลมหายใจ คิดถึงทั้งเวลาตื่นทั้งเวลาหลับ เชื่อได้ว่าบ่อยครั้งทีเดียว ที่คนเหล่านั้นจะถึงกับฝัน ฝันว่ากำลังวิ่งหนีจิ้งจกหรือแมลงสาปยักษ์อย่างสุดชีวิต และพบว่า ตัวเองถูกมันคาบไว้ได้ และถูกพวกมันฉีกร่างเป็นชิ้นๆ แล้วขย้อนลงท้องอย่างมีความสุข
ข้อสอง กฎของพลังเชิงบวกบอกกับเราว่า คำว่า”ไม่” และ “จะ” ปราศจากความหมายในเชิงจิตใต้สำนึก แปลว่า ถ้าเขาบอกกับตัวเองตลอดเวลาว่า “ต้องไม่เจอแมลงสาปนะ” “จิ้งจกจะต้องไม่มี ๆ ๆ ๆ” นั่นเท่ากับเขาพยายามบอกกับตัวเองตลอดเวลาว่า “ต้องเจอแมลงสาปนะ” และ “จิ้งจกต้องมี ๆ ๆ ๆ”
ข้อสาม ความกลัวฝังใจ ความกลัวรนรานนั้นต่างหาก เป็นการส่งกระแสพลังที่มีความเข้มสูงออกไปรอบตัว แน่นอน หากเปรียบเทียบกับตอนที่เรานั่งสบายๆ รู้สึกผ่อนคลายมาก กับเวลาที่เรารู้สึกวิตก กังวล กระวนกระวาย กลัว เครียด ฯลฯ ความรู้สึกเหล่านี้มันมีแรงสั่นสะเทือนสูงกว่ามาก เปรียบเหมือนโทรศัพท์มือถือที่วางไว้เฉยๆ กับที่กำลังโทรออกหรือกำลังรับสัญญาณเรียกเข้า สังเกตได้จาก หากมีเครื่องเสียงหรือวิทยุอยู่ใกล้ๆ คลื่นความถี่สูงนั้นจะมีเสียงความถี่ของโทรศัพท์มือถือแทรกเข้าไปในวิทยุทันที
|
|
|
Post by ดร.ภาคิน ธราธรศิริ on Oct 18, 2016 9:58:46 GMT
จิตแห่งแรงดึงดูด Mind of Attraction
ตอน 40
ข้อสี่ คนที่กลัวสิ่งเหล่านั้นเขาแสดงความรู้สึกขอบคุณอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นกฎของพลังดึงดูด ที่ทำให้สรรพสิ่งที่ต้องการนั้นเคลื่อนเข้าหา ที่คนเหล่านั้นรู้สึกขอบคุณตลอดเวลา ก็มาจากความรู้สึกที่ว่า “ขอบคุณที่ไม่เจอแมลงสาป” “ขอบคุณที่ไม่มีจิ้งจก” เมื่อความรู้สึกนั้นมีคำว่า”ไม่” ปนอยู่ด้วย ความรู้สึกขอบคุณที่ส่งออกมาจึงกลายเป็น “ขอบคุณที่เจอแมลงสาป” “ขอบคุณที่มีจิ้งจก”
ทั้งหมดนี้จึงเป็นสาเหตุให้คนที่มีปัญหาความกลัวเหล่านั้น พบกับพลังดึงดูดอย่างเป็นรูปธรรมกว่าใครๆ และแน่นอนเป็นอย่างยิ่ง ที่เรื่องเหล่านี้จะเป็นที่ถกเถียงอีกนานหลายปี และในอนาคตข้อถกเถียงนี้ย่อมยังคงอยู่ต่อไป ตราบที่ยังไม่มีเครื่องมือพิสูจน์เรื่องของพลังดึงดูด ให้เป็นที่ประจักษ์หรือทำสถิติเป็นตัวเลขที่ชัดเจนจากการทำวิจัยหรือทดลอง
เพราะพลังดึงดูดเป็นเรื่องประจักษ์ส่วนบุคคล และถูกโต้แย้งได้ง่ายว่าเป็นความบังเอิญ โดยเฉพาะหากใช้การทดลองกับมนุษย์ด้วยกัน เพราะจิตมนุษย์มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงมาก คงไม่มีเครื่องมืออะไรมาวัดความเปลี่ยนแปลงได้ละเอียดและไวเท่า
|
|
|
Post by ดร.ภาคิน ธราธรศิริ on Oct 18, 2016 10:00:44 GMT
จิตแห่งแรงดึงดูด Mind of Attraction
ตอน 41
สิ่งเหล่านี้จึงยังคงเป็นเรื่องของความเชื่ออยู่ ใครไม่เชื่อก็ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องทำตาม แต่หากใครเชื่อ สนใจจะทำใหม่ ปฏิบัติตัวใหม่ให้มีพลังดึงดูดด้านบวก ดึงดูดแต่สิ่งดีๆ ให้ลองทำตามข้อมูล 4 ข้อที่กล่าวถึงด้านบนนี้ในเรื่องกฎของพลังดึงดูด โดยย้อนรอยวิธีของคนที่กลัวแมลงสาป และจิ้งจก ที่เขาทำแล้วได้ผลกันเป็นอย่างดี แบบที่ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันได้ผลเลย ดังต่อไปนี้
ข้อแรก เขาคิดถึงสิ่งนั้นตลอดเวลา คิดถึงทุกลมหายใจ คิดถึงทั้งเวลาตื่นทั้งเวลาหลับ และโดยไม่เคยสงสัยในความกลัวของตัวเอง และอย่างไม่ลดละ คุณลองเชื่ออะไรสักอย่างและอยากได้อะไรสักอย่างแบบนี้บ้างสิ เมื่อไหร่ที่ความเชื่อและความอยากแบบนี้มันเข้าไปแทรกอยู่ในความฝันได้แล้วละก็ แปลว่าคุณเข้าขั้นแล้ว ในการทำตามกระบวนการ เชื่อ ทำ คิด และมุ่งหวังอย่างสุดหัวใจ
ข้อสอง กฎของพลังเชิงบวกบอกกับเราว่า คำว่า”ไม่” และ “จะ” ปราศจากความหมายในเชิงจิตใต้สำนึก แปลว่า ถ้าหากเราเคยบอกกับตัวเองว่า “ฉันจะไม่ขี้เกียจ” “ฉันจะไม่จนอีกต่อไป” ฉันจะไม่มีชีวิตย่ำอยู่กับที่แบบนี้” ฯลฯ เท่ากับว่า คุณตอกย้ำให้ตัวเอง “ฉันขี้เกียจตลอดไป” “ฉันเป็นคนจนสม่ำเสมอ” และ “ฉันมีชีวิตที่ย่ำอยู่กับที่ไปตลอดชีวิต” จงเปลี่ยนความรู้สึกต่อตัวเองเสียใหม่ โดยความรู้สึกนั่นต้องหลีกเลี่ยงคำที่มีความหมายเชิงลบ รวมถึงคำว่า “ไม่” และ “จะ” ด้วย
ข้อสาม ความรู้สึกด้านลบนั้นมีความถี่สูงกว่าความรู้สึกด้านบวก ฉะนั้นจงเร่งกำจัดมันออกไปจากจิตให้ไว อย่าใส่ใจกับปัญหาเล็กน้อย อย่าโกรธนาน อย่าวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องเศร้าๆ ทุกข์ๆ หรือความไม่พอใจ เพราะมันจะส่งกระแสด้านลบออกไป เท่ากับไปเรียกเอาเรื่องร้ายๆ สิ่งแย่ๆ เข้ามาในชีวิตเพิ่มเข้าไปอีก ทำตัวให้ร่าเริง เบิกบาน อิ่มใจ สนุก มีความสุขตลอดเวลา ฯลฯ
ข้อสี่ คนที่กลัวสิ่งเหล่านั้นเขาแสดงความรู้สึกขอบคุณอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นกฎของพลังดึงดูด ที่ทำให้สรรพสิ่งที่ต้องการนั้นเคลื่อนเข้าหา ที่คนเหล่านั้นรู้สึกขอบคุณอย่างสม่ำเสมอ มาจากความรู้สึกที่ว่า “ขอบคุณที่ไม่เจอแมลงสาป” “ขอบคุณที่ไม่เจอจิ้งจก” เมื่อความรู้สึกนั้นมีคำว่า”ไม่” ปนอยู่ด้วย ความรู้สึกขอบคุณที่ส่งออกมาจึงกลายเป็น “ขอบคุณที่เจอแมลงสาป” “ขอบคุณที่เจอจิ้งจก” วิธีที่เราจะใช้กลับกันคือ ให้รู้สึกขอบคุณที่ได้พบได้เจอแต่สิ่งดีๆ ทั้งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เรื่องใหญ่ๆ เรื่องบังเอิญ เรื่องที่ตั้งใจให้เกิด ขอบคุณให้มากๆ เพราะเป็นความรู้สึกตอกย้ำที่ชัดเจนที่ทำให้เราบอกกับตัวเองว่า “ฉันชอบมัน ขออีกนะ ขออีกนะ ขออีกนะ ขอบคุณมากที่มา ขอบคุณมากที่กำลังมา และขอบคุณมากหากมีมาอีก” ขณะที่เรื่องร้ายๆ ลบๆ ให้เรากล่าวกับตัวเองว่า “ฉันเฉยๆ” “ช่างปะไร” “มันผ่านไป และไปแล้วไปลับ” “มีหนนี้หนเดียว หนหน้าพอแล้ว ขอแต่เรื่องใหม่ๆ ดีๆ”
|
|
|
Post by ดร.ภาคิน ธราธรศิริ on Oct 18, 2016 10:02:07 GMT
จิตแห่งแรงดึงดูด Mind of Attraction
ตอน 42
เท่านี้ คุณจะได้รับแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตไม่ได้หยุดหย่อน เพราะพลังดึงดูดมันทำหน้าที่ของมันอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เหมือนคลื่นวิทยุที่เราส่งออกไปตลอดเวลาโดยไม่จำเป็นต้องรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ทุกสรรพสิ่งในโลกมีกระแสพลังงานส่งออกมาอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าสิ่งที่มีกระแสคลื่นความถี่เดียวกันเท่านั้นจึงสัมผัสรับส่งกันได้
หรือหากยกรูปธรรมให้เห็นชัดมากขึ้น เปรียบเหมือนตัวเราเป็นขันหรือกระบวยตักน้ำใบหนึ่งอยู่ริมลำธาร น้ำในลำธารไหลของมันตลอดเวลาอยู่แล้วไม่มีวันหยุด และในกระแสน้ำนั้นย่อมมีฝุ่น ตะกอน สวะ เศษใบไม้ ฯลฯ สิ่งของอะไรมากมายที่ลอยมาด้วยกัน เราเพียงมีหน้าที่เลือกตักเอาแต่น้ำใสๆ มาดื่มมากินเท่านั้น หากตักลงไปแล้วมีเศษใบไม้ติดมาด้วย อย่าไปเฝ้าสังเกต อย่าไปเสียเวลาหงุดหงิดไม่พอใจ แค่เทมันทิ้งแล้วตักน้ำขึ้นมาใหม่ คราวนี้เพียงแต่ให้ระวังมากขึ้น เวลาตักแล้วได้น้ำที่ดีๆ ใสๆ ก็ให้รู้สึกชื่นใจที่ได้ดื่ม ดีใจที่เจอน้ำใสๆ ดื่มไปแล้วรู้สึกสดชื่นจิตใจ
ไม่มีทางที่เราจะตักได้แต่น้ำใสๆ ทุกครั้ง เพียงแต่ให้เทน้ำในกระบวยทิ้งทันทีที่มีสารปนเปื้อนติดขึ้นมา ทิ้งไปโดยไม่ต้องไปคิดอาลัยอาวรณ์ หงุดหงิดโมโห หรือสร้างกระแสด้านลบในจิตเรา ทิ้งไปแบบอัตโนมัติ จิตใจไม่ทันรู้สึกอะไร สมองไม่ทันได้คิดอะไรจะยิ่งดีที่สุด
และสิ่งสำคัญที่สุดคือ กระบวยตักน้ำนั้นต้องสะอาดด้วย เพราะกระบวยตักน้ำที่สกปรก เมื่อตักเอาน้ำสะอาดขึ้นมา น้ำนั้นก็จะสกปรกทันทีดื่มกินไม่ได้ เพราะกระบวยนั้นไม่สะอาด คือการทำใจให้ใส สร้างสภาวะเชิงบวกในจิตให้เกิดขึ้นอย่างถาวร เหมือนทำกระบวยให้สะอาดตลอดเวลา เพื่อเป็นภาชนะรองรับน้ำใสที่เราจะตักขึ้นมาดื่มกินได้ไม่รู้จบ และบังเกิดความสุขสำราญตลอดชีวิตของเรา
|
|