Post by ดร.ภาคิน ธราธรศิริ on Sept 8, 2015 11:10:30 GMT
มีเรื่องปรึกษาครับ มีน้องคนไข้ผมคนนึง เธอเป็นโรคบางอย่างแต่กำเนิด ทำให้เรียนหนังสือไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้นาน อยู่ในที่คนเยอะไม่ได้ ได้ยินเสียงเด็กๆเจี๊ยวจ๊าวแล้วจะเครียดจนต้องระเบิดอารมณ์
ทำให้ชีวิตเธอทุกวันนี้ต้องอยู่คนเดียว ไปไหนมาไหนคนเดียว คนที่บ้านไม่เข้าใจ ที่บ้านมีกิจการก็ช่วยงานใครไม่ได้ ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเธอเป็นภาระ หลายปีมานี้ ไม่มีใครพูดคุยกับเธอดีๆ ความเห็นใจเข้าใจหายไปหมดแล้ว
ออกนอกบ้านก็ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครคบ เพราะถ้ามีเพื่อนเธอจะติดเพื่อน และคาดหวังว่าจะต้องอยู่ใกล้ตลอดเวลา พอรู้จักไปสักพักจะทำให้ทุกคนอึดอัดและพยายามตีจากเธอในที่สุด
เนื่องจากอาการป่วย ทำให้เธอไม่สามารถรับฟังเหตุผลและปรับปรุงตัวได้โดยสิ้นเชิง ทุกวันนี้ใช้ชีวิตน่าเป็นห่วงมาก ไปเที่ยวต่างจังหวัดไกลๆ คนเดียวเกือบทุกวัน และช่วงนี้เธอมาเล่าว่า โดนที่บ้านว่ารุนแรงมาก เคยคิดวูบหนึ่งว่าจะขึ้นไปบนระเบียงบ้านชั้นบนสุดแล้วโดดลงมาให้รู้แล้วรู้รอด
ผมได้แต่ช่วยพยุงให้เธอแบกรับความทุกข์ทรมานใจได้มากขึ้นไปวันๆ เท่านั้น ช่วยอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ เพราะสัปดาห์นึงมาพบผม 1 ครั้ง เพียง 1 ชั่วโมง แต่อีก 7 วัน วันละ 24 ชั่วโมง เธออยู่ในชีวิตเดิมๆ สภาพแวดล้อมเดิมๆ ได้รับการปฎิบัติแบบเดิมๆ คนที่บ้านไม่เข้าใจเหมือนเดิม (ผมเคยพยายามอธิบายให้ที่บ้านฟังแต่ได้รับความร่วมมือน้อยมาก อ้างว่าไม่มีเวลาดูแลเธอ ต้องทำมาหากิน) โอกาสที่เธอจะลุกขึ้นมาเป็นคนใหม่เหมือนคนทั่วไปจึงเป็นไปได้น้อยมาก
ผมเห็นฝรั่งเขาใช้ FaceBook เป็นสื่อ โดยแม่คนนึงชวนผู้คนผ่านเฟสบุ๊คให้ช่วยปลอบโยนให้กำลังใจลูกของเธอ และผู้คนหลายแสนคนเข้าในเฟสบุ๊คเธอและปลอบโยนให้กำลังใจเธอล้นหลาม ทำให้เธอมีกำลังใจดี สามารถต่อสู้ปัญหาชีวิตได้ดีขึ้น เพราะ
ผมเลยอยากใช้วิธีนี้บ้าง แต่กังวลมากเพราะ 1. ทำอย่างนี้ก็เป็นการเปิดเผยข้อมูลคนไข้นะสิ คนก็รู้กันสิว่าเธอคนนี้เป็นใคร เธออาจไม่ชอบ ที่บ้านเธออาจไม่พอใจ 2. ไม่มั่นใจในพลังการให้ของเราชาวไทยเลยครับ ว่าเราจะ Sympathy เหมือนฝรั่งมั้ย เพราะน้องคนนี้ไม่ใช่ดารา ไม่ใช่ celeb ใครจะอยากมาให้กำลังใจคน NoName คนหนึ่ง 3. กลัวคนมาชวนน้องนั่งสมาธิ หรือเสนอข้อความในศาสนาทำนองนี้ โดยไม่เข้าใจว่าน้องเขาป่วย เขาไม่สามารถเข้าใจของพวกนั้นได้เลย (คือถ้าเข้าใจคงเลิกป่วยนานแล้ว ที่บ้านพาเข้าวัดหลายรอบแล้วครับ)
เมื่อนึกได้ดังนั้นก็ถือว่านี่เป็ฯการรำพึงรำพันเฉยๆ แล้วกันนะครับ นึกไปนึกว่าผมว่าไม่เวิร์ค อิอิ
ทำให้ชีวิตเธอทุกวันนี้ต้องอยู่คนเดียว ไปไหนมาไหนคนเดียว คนที่บ้านไม่เข้าใจ ที่บ้านมีกิจการก็ช่วยงานใครไม่ได้ ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเธอเป็นภาระ หลายปีมานี้ ไม่มีใครพูดคุยกับเธอดีๆ ความเห็นใจเข้าใจหายไปหมดแล้ว
ออกนอกบ้านก็ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครคบ เพราะถ้ามีเพื่อนเธอจะติดเพื่อน และคาดหวังว่าจะต้องอยู่ใกล้ตลอดเวลา พอรู้จักไปสักพักจะทำให้ทุกคนอึดอัดและพยายามตีจากเธอในที่สุด
เนื่องจากอาการป่วย ทำให้เธอไม่สามารถรับฟังเหตุผลและปรับปรุงตัวได้โดยสิ้นเชิง ทุกวันนี้ใช้ชีวิตน่าเป็นห่วงมาก ไปเที่ยวต่างจังหวัดไกลๆ คนเดียวเกือบทุกวัน และช่วงนี้เธอมาเล่าว่า โดนที่บ้านว่ารุนแรงมาก เคยคิดวูบหนึ่งว่าจะขึ้นไปบนระเบียงบ้านชั้นบนสุดแล้วโดดลงมาให้รู้แล้วรู้รอด
ผมได้แต่ช่วยพยุงให้เธอแบกรับความทุกข์ทรมานใจได้มากขึ้นไปวันๆ เท่านั้น ช่วยอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ เพราะสัปดาห์นึงมาพบผม 1 ครั้ง เพียง 1 ชั่วโมง แต่อีก 7 วัน วันละ 24 ชั่วโมง เธออยู่ในชีวิตเดิมๆ สภาพแวดล้อมเดิมๆ ได้รับการปฎิบัติแบบเดิมๆ คนที่บ้านไม่เข้าใจเหมือนเดิม (ผมเคยพยายามอธิบายให้ที่บ้านฟังแต่ได้รับความร่วมมือน้อยมาก อ้างว่าไม่มีเวลาดูแลเธอ ต้องทำมาหากิน) โอกาสที่เธอจะลุกขึ้นมาเป็นคนใหม่เหมือนคนทั่วไปจึงเป็นไปได้น้อยมาก
ผมเห็นฝรั่งเขาใช้ FaceBook เป็นสื่อ โดยแม่คนนึงชวนผู้คนผ่านเฟสบุ๊คให้ช่วยปลอบโยนให้กำลังใจลูกของเธอ และผู้คนหลายแสนคนเข้าในเฟสบุ๊คเธอและปลอบโยนให้กำลังใจเธอล้นหลาม ทำให้เธอมีกำลังใจดี สามารถต่อสู้ปัญหาชีวิตได้ดีขึ้น เพราะ
ผมเลยอยากใช้วิธีนี้บ้าง แต่กังวลมากเพราะ 1. ทำอย่างนี้ก็เป็นการเปิดเผยข้อมูลคนไข้นะสิ คนก็รู้กันสิว่าเธอคนนี้เป็นใคร เธออาจไม่ชอบ ที่บ้านเธออาจไม่พอใจ 2. ไม่มั่นใจในพลังการให้ของเราชาวไทยเลยครับ ว่าเราจะ Sympathy เหมือนฝรั่งมั้ย เพราะน้องคนนี้ไม่ใช่ดารา ไม่ใช่ celeb ใครจะอยากมาให้กำลังใจคน NoName คนหนึ่ง 3. กลัวคนมาชวนน้องนั่งสมาธิ หรือเสนอข้อความในศาสนาทำนองนี้ โดยไม่เข้าใจว่าน้องเขาป่วย เขาไม่สามารถเข้าใจของพวกนั้นได้เลย (คือถ้าเข้าใจคงเลิกป่วยนานแล้ว ที่บ้านพาเข้าวัดหลายรอบแล้วครับ)
เมื่อนึกได้ดังนั้นก็ถือว่านี่เป็ฯการรำพึงรำพันเฉยๆ แล้วกันนะครับ นึกไปนึกว่าผมว่าไม่เวิร์ค อิอิ