Post by ดร.ภาคิน ธราธรศิริ on Sept 21, 2015 5:17:37 GMT
พุทธศาสนา ศาสนาของการหลงผิด
พระพุทธองค์ก่อนเสวยชาติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะได้ประสูตรเป็นพระเวสสันดรอันมิใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นปริศนาธรรมที่ต้องการสอนชาวพุทธ คือ 1. เสวยชาติเป็นพระเวสสันดรอันมีอำนาจวาสนาบารมี ยศฐาบรรดาศักดิ์ และทรัพย์ศฤงคารเอนกอนันต์อันนับมิถ้วน พร้อมข้าทาสบริวารมหาศาล กอปรด้วยพระมเหสีและราชบุตรราชธิดาที่ดีพร้อมประเสริฐ
ชาติภพนี้อีกแง่มุมหนึ่งก็เพื่อให้พระพุทธองค์บำเพ็ญบารมีหรือเพื่อเป็นการทดสอบก่อนเสวยชาติภพใหม่เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า คือบารมีที่สามารถละทิ้งสิ่งอันเป็นที่รักทุกอย่างได้ ทั้งอำนาจทรัพย์สินทั้งหลาย แม้ภรรยาและลูกเล็กๆ 2 คน
2. เมื่อเสวยชาติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็อยู่ในชาติตระกูลและแผ่นดินมหาอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดเมื่อ 2500 ปีก่อน เพื่อให้พระพุทธองค์ได้บำเพ็ญบารมีหรือเพื่อทดสอบก่อนตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ นอกจากละทิ้งทรัพย์สมบัติบารมีอันยิ่งใหญ่อย่างมิใยดีได้แล้ว ยังละทิ้งคำสอนและความห่วงใยของบิดามารดา ละทิ้งวรรณะชาติตระกูลข้าทาสบริวารความสะดวกสบาย ละทิ้งภรรยา ลูกที่เพิ่งเกิด ถึงกับทรงอุทานว่า"ราหุร" (บ่วงเกิดแล้ว) คือภาระอันนั่นเอง ละทิ้งศักดิ์ศรีทั้งปวง โกนผม สละเสื้อผ้าอาภรทั้งปวง เอาผ้าที่ใช้ห่อศพมานุ่งห่มพระวรกาย และเดินเที่ยวขออาหาร รวมถึงชักชวนใครต่อใครให้เที่ยวออกขออาหารตามบ้าน(ภิกขุ=ภิกขาจาร คือผู้เที่ยวเดินขออาหาร)
ครั้งหลังสุดก่อนตรัสรู้ หลังจากทรมานพระวรกายนานหลายปี จึงทรงแจ้งในจิตว่า การบรรลุโสดาบันจะมิได้มาด้วยการทรมานตัว จึงล้มเลิกวิธีนั้น และตรัสรู้ปรินิพานได้ในวันต่อมา ปริศนาธรรมเหล่านี้ จึงสอนว่า
1. มนุษย์เลือกเกิดได้ หากมีจิตบารมีที่ถึงพร้อม และจิตอธิษฐานมุ่งหวังไปทางใด ความเชื่อที่ว่าเราเลือกเกิดไม่ได้ จึงไม่เป็นความจริง
2. การทรมานตัวมิใช่หนทางของพุทธ ความสุขกายสบายใจในระดับพอประมาณจึงจะบำเพ็ญบารมีจิตได้ดี สำนักพุทธที่สอนให้ทรมานตัวจึงไม่ใช่
3. จิตที่ยังมีความยินดียินร้าย อาลัยอาวรทั้งความสุขทุกข์ มิอาจปลดปล่อยความผูกพันเรื่องสายโลหิต ริษยาอาฆาตก็ยังเป็นอุปสรรคแห่งการหลุดพ้น แนวคิดที่ยังสลัดมิได้ แม้แต่ความผูกพันฉันท์พ่อ แม่ ลูก คู่ชีวิต ศัตรู เพื่อน จึงมิใช่แนวทางของพุทธ ที่มีภาพพระภิกษุก้มกราบแม่ของตัวเอง จึงมิใช่วิถีทางพุทธ
4. พระพุทธองค์มีทางโลกอย่างเหลือคณานัปแล้วจึงสละทั้งหลายทั้งสิ้น แต่ชาวพุทธทุกวันนี้พยายามแสวงหาให้มาก แล้วคิดว่าจะมาสละภายหลังในบ้้นปลายชีวิต จึงมีใช่พุทธ
5. ครั้งหนึ่งชาวนาได้ถวายก้อนดินเหนียวแก่พระพุทธองค์และได้สัมฤทธิมรรคผลด้วยจิตที่น้อมนำถวาย การทำบุญด้วยทรัพย์มากหรือน้อยจึงสำคัญที่จิตมากกว่าจำนวน
6. พระพุทธองค์เป็นพระผู้สอน มิใช่ผู้ช่วยเหลือ เพราะทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง หญิงคนหนึ่งขอให้ช่วยลูกที่ตายแล้วให้ฟื้น ก็ทรงสอนด้วยปริศนาธรรม คือให้หาใบไม้จากบ้านที่ไม่มีคนตาย เพื่อให้หญิงนั้นคิดได้ด้วยตัวเอง พุทธแท้จึงไม่ขอ ไม่บนบานศาลกล่าว แต่เราทุกวันนี้กลับไหว้พระเพื่อขอ และวัดส่วนใหญ่ก็สนับสนุน
7. แม้ศาสนาพุทธไม่ถือการทรมานกายเป็นสรณะ แต่ไม่ยินดียินร้ายกับความประณีตบรรจง พระบรมศาสดาทรงสละวรรณะราชศักดิ์บารมี ทรัพย์สมบัติทั้งหลายทั้งปวงแล้ว ท่านคิดว่า การสร้างสิ่งปลูกสร้างหรือวัตถุอันยิ่งใหญ่อลังการยังเป็นสรณะในพุทธศาสนาอยู่หรือ เพียงแต่พุทธองค์วางเฉยไม่ตำหนิ ไม่ห้ามปราม เพราะทรงแบ่งคนออกเป็นดอกบัว 4 ประเภทแล้ว ท่านเป็นประเภทไหนกัน ที่พุทธองค์วางเฉยไม่สอน การสร้างวัตถุถวายเป็นพุทธบูชายิ่งใหญ่อลังการ จึงมิใช่พุทธ
ฯลฯ ท่านจึงต้องถามตัวเองว่า เป็นพุทธแท้หรือพุทธ ผี พราหมณ์ปนๆ กันไป ฉะนั้นจงอย่าตำหนิ ปรามาสหรือเห็นแปลก หากคนอื่นปฎิบัติไม่เหมือนท่าน เพราะท่านก็ไม่ใช่พุทธแท้ พระพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาที่แท้ ท่านต่างหากที่หลงผิดและคิดเอาเองว่าท่านปฎิบัติถูก
พระพุทธองค์ก่อนเสวยชาติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะได้ประสูตรเป็นพระเวสสันดรอันมิใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นปริศนาธรรมที่ต้องการสอนชาวพุทธ คือ 1. เสวยชาติเป็นพระเวสสันดรอันมีอำนาจวาสนาบารมี ยศฐาบรรดาศักดิ์ และทรัพย์ศฤงคารเอนกอนันต์อันนับมิถ้วน พร้อมข้าทาสบริวารมหาศาล กอปรด้วยพระมเหสีและราชบุตรราชธิดาที่ดีพร้อมประเสริฐ
ชาติภพนี้อีกแง่มุมหนึ่งก็เพื่อให้พระพุทธองค์บำเพ็ญบารมีหรือเพื่อเป็นการทดสอบก่อนเสวยชาติภพใหม่เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า คือบารมีที่สามารถละทิ้งสิ่งอันเป็นที่รักทุกอย่างได้ ทั้งอำนาจทรัพย์สินทั้งหลาย แม้ภรรยาและลูกเล็กๆ 2 คน
2. เมื่อเสวยชาติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็อยู่ในชาติตระกูลและแผ่นดินมหาอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดเมื่อ 2500 ปีก่อน เพื่อให้พระพุทธองค์ได้บำเพ็ญบารมีหรือเพื่อทดสอบก่อนตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ นอกจากละทิ้งทรัพย์สมบัติบารมีอันยิ่งใหญ่อย่างมิใยดีได้แล้ว ยังละทิ้งคำสอนและความห่วงใยของบิดามารดา ละทิ้งวรรณะชาติตระกูลข้าทาสบริวารความสะดวกสบาย ละทิ้งภรรยา ลูกที่เพิ่งเกิด ถึงกับทรงอุทานว่า"ราหุร" (บ่วงเกิดแล้ว) คือภาระอันนั่นเอง ละทิ้งศักดิ์ศรีทั้งปวง โกนผม สละเสื้อผ้าอาภรทั้งปวง เอาผ้าที่ใช้ห่อศพมานุ่งห่มพระวรกาย และเดินเที่ยวขออาหาร รวมถึงชักชวนใครต่อใครให้เที่ยวออกขออาหารตามบ้าน(ภิกขุ=ภิกขาจาร คือผู้เที่ยวเดินขออาหาร)
ครั้งหลังสุดก่อนตรัสรู้ หลังจากทรมานพระวรกายนานหลายปี จึงทรงแจ้งในจิตว่า การบรรลุโสดาบันจะมิได้มาด้วยการทรมานตัว จึงล้มเลิกวิธีนั้น และตรัสรู้ปรินิพานได้ในวันต่อมา ปริศนาธรรมเหล่านี้ จึงสอนว่า
1. มนุษย์เลือกเกิดได้ หากมีจิตบารมีที่ถึงพร้อม และจิตอธิษฐานมุ่งหวังไปทางใด ความเชื่อที่ว่าเราเลือกเกิดไม่ได้ จึงไม่เป็นความจริง
2. การทรมานตัวมิใช่หนทางของพุทธ ความสุขกายสบายใจในระดับพอประมาณจึงจะบำเพ็ญบารมีจิตได้ดี สำนักพุทธที่สอนให้ทรมานตัวจึงไม่ใช่
3. จิตที่ยังมีความยินดียินร้าย อาลัยอาวรทั้งความสุขทุกข์ มิอาจปลดปล่อยความผูกพันเรื่องสายโลหิต ริษยาอาฆาตก็ยังเป็นอุปสรรคแห่งการหลุดพ้น แนวคิดที่ยังสลัดมิได้ แม้แต่ความผูกพันฉันท์พ่อ แม่ ลูก คู่ชีวิต ศัตรู เพื่อน จึงมิใช่แนวทางของพุทธ ที่มีภาพพระภิกษุก้มกราบแม่ของตัวเอง จึงมิใช่วิถีทางพุทธ
4. พระพุทธองค์มีทางโลกอย่างเหลือคณานัปแล้วจึงสละทั้งหลายทั้งสิ้น แต่ชาวพุทธทุกวันนี้พยายามแสวงหาให้มาก แล้วคิดว่าจะมาสละภายหลังในบ้้นปลายชีวิต จึงมีใช่พุทธ
5. ครั้งหนึ่งชาวนาได้ถวายก้อนดินเหนียวแก่พระพุทธองค์และได้สัมฤทธิมรรคผลด้วยจิตที่น้อมนำถวาย การทำบุญด้วยทรัพย์มากหรือน้อยจึงสำคัญที่จิตมากกว่าจำนวน
6. พระพุทธองค์เป็นพระผู้สอน มิใช่ผู้ช่วยเหลือ เพราะทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง หญิงคนหนึ่งขอให้ช่วยลูกที่ตายแล้วให้ฟื้น ก็ทรงสอนด้วยปริศนาธรรม คือให้หาใบไม้จากบ้านที่ไม่มีคนตาย เพื่อให้หญิงนั้นคิดได้ด้วยตัวเอง พุทธแท้จึงไม่ขอ ไม่บนบานศาลกล่าว แต่เราทุกวันนี้กลับไหว้พระเพื่อขอ และวัดส่วนใหญ่ก็สนับสนุน
7. แม้ศาสนาพุทธไม่ถือการทรมานกายเป็นสรณะ แต่ไม่ยินดียินร้ายกับความประณีตบรรจง พระบรมศาสดาทรงสละวรรณะราชศักดิ์บารมี ทรัพย์สมบัติทั้งหลายทั้งปวงแล้ว ท่านคิดว่า การสร้างสิ่งปลูกสร้างหรือวัตถุอันยิ่งใหญ่อลังการยังเป็นสรณะในพุทธศาสนาอยู่หรือ เพียงแต่พุทธองค์วางเฉยไม่ตำหนิ ไม่ห้ามปราม เพราะทรงแบ่งคนออกเป็นดอกบัว 4 ประเภทแล้ว ท่านเป็นประเภทไหนกัน ที่พุทธองค์วางเฉยไม่สอน การสร้างวัตถุถวายเป็นพุทธบูชายิ่งใหญ่อลังการ จึงมิใช่พุทธ
ฯลฯ ท่านจึงต้องถามตัวเองว่า เป็นพุทธแท้หรือพุทธ ผี พราหมณ์ปนๆ กันไป ฉะนั้นจงอย่าตำหนิ ปรามาสหรือเห็นแปลก หากคนอื่นปฎิบัติไม่เหมือนท่าน เพราะท่านก็ไม่ใช่พุทธแท้ พระพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาที่แท้ ท่านต่างหากที่หลงผิดและคิดเอาเองว่าท่านปฎิบัติถูก