Post by ดร.ภาคิน ธราธรศิริ on Apr 23, 2015 1:24:23 GMT
มีคำถามเข้ามาเนืองๆ ตั้งแต่มีหญิงคนหนึ่งมาโชว์สะกดจิตย้อนอดีต (Regression)คลายปมแล้วคนไข้ (Subject) ก็ร้องไห้หนักมาก ดร.ภาคินไม่อยากวิจารณ์เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน แต่นึกในใจว่าสักวันก็ต้องเลิก เพราะวิธีนี้มีปัญหาแบบที่คนไร้ประสบการณ์จะไม่รู้ไม่เข้าใจ เห็นทำมา 3-4 ปี ทุกวันนี้เลิกแล้วกับการทำให้แบบส่วนบุคคล (Private Session) หันไปอบรมและบำบัดเป็นกลุ่ม ซึ่งจะยังสร้างปัญหาอีกต่อไป แต่เจ้าตัวรู้สึกปลอดภัยกว่า เพราะรักษาเป็นกลุ่ม ถ้าคนไข้หายดีก็ยกความดีให้ตัวเอง แต่ถ้าใครมีปัญหาก็ยกปัญหาให้คนไข้ไป ทำแบบนี้ง่ายดี ไม่น่าเชื่อว่าจะไร้ความรับผิดชอบได้ขนาดนั้น สำหรับคนที่มีชื่อเสียงขนาดนี้ คิดแต่จะทำเอาสนุกไม่คำนึงถึงปัญหาที่จะตามมาจากคนไข้
2-3 วันที่ผ่านมามีคนมาโชว์ regression ออกทีวีอีกแล้ว คนไข้ดร.ภาคินถามทันที มันคืออะไร ทำไมไม่ทำบ้าง จึงขอตอบคำถามและให้คำแนะนำกับท่านๆ ที่คิดจะทำ regression บ้างให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ดังนี้
1. การทำ regression ไม่จำเป็นต้องทำกับคนไข้ทุกราย เพราะแต่ละคนปัญหาไม่เหมือนกัน เหมือนป่วยคนละโรค regression เหมาะกับการย้อนอดีต เมื่อบุคคลนั้นจำไม่ได้ ไม่ค่อยแน่ใจถึงอดีตตัวเอง สับสนในเหตุการณ์ และต้องการรื้อฟื้นความทรงจำ
2. การรักษาคนไข้ที่มีปมอดีตด้วยกระบวนการจิตบำบัด มีหลายวิธี regression เป็นเพียงวิธีหนึ่งเท่านั้น เช่น เราสามารถให้ข้อมูลใหม่กับจิตใต้สำนึกได้เลย โดยไม่ต้องไปรื้อฟื้นความทรงจำ ฯลฯ
3. ทุกวิธีมีทั้งข้อดีและข้อเสีย regression มีข้อดีที่คนไข้ร้องไห้หนักมาก นักบำบัดรู้สึกพึงพอใจกับผลงานของตัวเอง คนที่เห็นก็ตื่นเต้น ดูเหมือนการบำบัดครั้งนี้มีผลสำเร็จที่งดงาม แต่ผลเสียคือ หากอดีตของคนนั้นมีเรื่องไม่พึงประสงค์ที่ตัวเองไม่ต้องการรับรู้อีก การไปรื้อฟื้นกลับมาอาจทำให้คนนั้นป่วยมากขึ้น หรือเพิ่มปัญหาชีวิตเพิ่มขึ้น เช่น บางรายเคยถูกพ่อตัวเองลวนลามตอนเป็นเด็กเล็ก 3-4 ขวบ ซึ่งตอนนี้อายุของพ่อก็แก่ชราใกล้จะตายแล้ว การไปรื้อฟื้นความทรงจำแบบนั้นกลับมาจะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ยกเว้นความสะใจของนักบำบัดเท่านั้น
4. ดร.ภาคินเคยใช้วิธี regression ในช่วงแรกๆ เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน ใช้กับคนไข้ 2 คนก็พบแล้วว่าวิธีนี้มีปัญหา ไม่เหมาะกับคนไทย เพราะพื้นนิสัยคนไทยส่วนใหญ่ เป็นคนยากที่จะลืมเลือนอดีต และปล่อยผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ ในชีวิตได้ยาก บวกกับความเชื่อในพุทธศาสนา regression จึงกลายเป็นการตอกย้ำให้คนนั้นวนเวียนอยู่กับแต่ปัญหา ไม่หลุดพ้นออกจากความทุกข์เศร้า ในขณะที่ความเชื่อแบบฝรั่งศาสนาคริสต์ คือ คนเราสามารถล้างบาปได้ พระเจ้ายกโทษความผิดบาปนั้นให้ ใช้ regression แล้วหายดีทันที แต่สำหรับคนไทยส่วนใหญ่แล้วเป็นในทางตรงกันข้าม เพราะศาสนาพุทธพูดเรื่องเวรกรรม ทำให้คนส่วนใหญ่ตระหนักถึงกรรมเก่า และไม่สามารถแก้ล้างได้
5. ดร.ภาคินจะทำ regression ให้ในกรณีที่คนไข้ร้องขอ แต่เมื่อรู้จักคนนั้นพอสมควรและประเมินแล้วว่าท่านนั้นสามารถทำ regression ได้ มิได้ทำกับทุกคน เพราะบางคนนอกจากทำไม่ได้แล้ว กลายเป็นการสร้างปัญหาซ้ำซ้อน สังเกตได้จากหญิงคนดังที่ทำสะกดจิตโชว์ทางทีวี (แต่อ้างว่าสิ่งที่ตัวเองทำไม่ใช่ จะอ้างว่า NLP, Trance รึอะไร มันก็คือการสะกดจิตอยู่ดี คนไม่รู้สักวันก็ต้องรู้ว่าเธอโกหก คนรู้ก็หัวเราะกับการเล่นตลกของเธอ) ดูผลได้ว่าเมื่อก่อนเธอรับรักษาเป็นรายบุคคล เดี๋ยวนี้หยุดไปแล้ว เพราะคงเจอปัญหาหนัก ด้วยความอ่อนด้อยทั้งวิชาการและประสบการณ์ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เลยหันมาเอาดีทางอบรมรักษาเป็นกลุ่มดีกว่า (และในอนาคตไม่นานเธอก็จะเจอปัญหาอีก แต่ระหว่างนี้ดร.ภาคินได้แต่สงสารคนไข้ที่ไปหาเธอ)
คนใหม่ๆ ที่เข้ามาประกอบอาชีพด้านนี้ตามกระแส ก็จะยังคง Regression ไปเรื่อยๆ เพราะรู้สึกพึงพอใจที่ทำให้คนอื่นร้องไห้หนักมาก ทางจิตวิทยาถือว่าผู้บำบัดคนนั้นก็เป็นคนป่วยทางจิตอย่างหนึ่ง มีความสุขที่ได้เห็นคนอื่น (Sadism) เข้าในภาวะทุกข์ทรมาน ขอเรียนย้ำอีกครั้งว่า Regression ไม่จำเป็นต้องทำกับผู้ป่วยทุกราย ผู้ทำการสะกดจิตต้องประเมินว่าคนนั้นมีสภาวะจิตพร้อมทำ Regression หรือไม่ ถ้าผู้ทำการสะกดจิตทำพร่ำเพรื่อ ไม่มีความรู้ในการประเมิน ก็จะสร้างปัญหาระยะยาวให้กับคนไข้ที่ไม่มีความพร้อมในการทำ regression และนักบำบัดคนนั้นก็เป็นแค่สิบแปดมงกุฎเท่านั้น
ดร.ภาคิน ธราธรศิริ
22 เม.ย. 58
2-3 วันที่ผ่านมามีคนมาโชว์ regression ออกทีวีอีกแล้ว คนไข้ดร.ภาคินถามทันที มันคืออะไร ทำไมไม่ทำบ้าง จึงขอตอบคำถามและให้คำแนะนำกับท่านๆ ที่คิดจะทำ regression บ้างให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ดังนี้
1. การทำ regression ไม่จำเป็นต้องทำกับคนไข้ทุกราย เพราะแต่ละคนปัญหาไม่เหมือนกัน เหมือนป่วยคนละโรค regression เหมาะกับการย้อนอดีต เมื่อบุคคลนั้นจำไม่ได้ ไม่ค่อยแน่ใจถึงอดีตตัวเอง สับสนในเหตุการณ์ และต้องการรื้อฟื้นความทรงจำ
2. การรักษาคนไข้ที่มีปมอดีตด้วยกระบวนการจิตบำบัด มีหลายวิธี regression เป็นเพียงวิธีหนึ่งเท่านั้น เช่น เราสามารถให้ข้อมูลใหม่กับจิตใต้สำนึกได้เลย โดยไม่ต้องไปรื้อฟื้นความทรงจำ ฯลฯ
3. ทุกวิธีมีทั้งข้อดีและข้อเสีย regression มีข้อดีที่คนไข้ร้องไห้หนักมาก นักบำบัดรู้สึกพึงพอใจกับผลงานของตัวเอง คนที่เห็นก็ตื่นเต้น ดูเหมือนการบำบัดครั้งนี้มีผลสำเร็จที่งดงาม แต่ผลเสียคือ หากอดีตของคนนั้นมีเรื่องไม่พึงประสงค์ที่ตัวเองไม่ต้องการรับรู้อีก การไปรื้อฟื้นกลับมาอาจทำให้คนนั้นป่วยมากขึ้น หรือเพิ่มปัญหาชีวิตเพิ่มขึ้น เช่น บางรายเคยถูกพ่อตัวเองลวนลามตอนเป็นเด็กเล็ก 3-4 ขวบ ซึ่งตอนนี้อายุของพ่อก็แก่ชราใกล้จะตายแล้ว การไปรื้อฟื้นความทรงจำแบบนั้นกลับมาจะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ยกเว้นความสะใจของนักบำบัดเท่านั้น
4. ดร.ภาคินเคยใช้วิธี regression ในช่วงแรกๆ เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน ใช้กับคนไข้ 2 คนก็พบแล้วว่าวิธีนี้มีปัญหา ไม่เหมาะกับคนไทย เพราะพื้นนิสัยคนไทยส่วนใหญ่ เป็นคนยากที่จะลืมเลือนอดีต และปล่อยผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ ในชีวิตได้ยาก บวกกับความเชื่อในพุทธศาสนา regression จึงกลายเป็นการตอกย้ำให้คนนั้นวนเวียนอยู่กับแต่ปัญหา ไม่หลุดพ้นออกจากความทุกข์เศร้า ในขณะที่ความเชื่อแบบฝรั่งศาสนาคริสต์ คือ คนเราสามารถล้างบาปได้ พระเจ้ายกโทษความผิดบาปนั้นให้ ใช้ regression แล้วหายดีทันที แต่สำหรับคนไทยส่วนใหญ่แล้วเป็นในทางตรงกันข้าม เพราะศาสนาพุทธพูดเรื่องเวรกรรม ทำให้คนส่วนใหญ่ตระหนักถึงกรรมเก่า และไม่สามารถแก้ล้างได้
5. ดร.ภาคินจะทำ regression ให้ในกรณีที่คนไข้ร้องขอ แต่เมื่อรู้จักคนนั้นพอสมควรและประเมินแล้วว่าท่านนั้นสามารถทำ regression ได้ มิได้ทำกับทุกคน เพราะบางคนนอกจากทำไม่ได้แล้ว กลายเป็นการสร้างปัญหาซ้ำซ้อน สังเกตได้จากหญิงคนดังที่ทำสะกดจิตโชว์ทางทีวี (แต่อ้างว่าสิ่งที่ตัวเองทำไม่ใช่ จะอ้างว่า NLP, Trance รึอะไร มันก็คือการสะกดจิตอยู่ดี คนไม่รู้สักวันก็ต้องรู้ว่าเธอโกหก คนรู้ก็หัวเราะกับการเล่นตลกของเธอ) ดูผลได้ว่าเมื่อก่อนเธอรับรักษาเป็นรายบุคคล เดี๋ยวนี้หยุดไปแล้ว เพราะคงเจอปัญหาหนัก ด้วยความอ่อนด้อยทั้งวิชาการและประสบการณ์ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เลยหันมาเอาดีทางอบรมรักษาเป็นกลุ่มดีกว่า (และในอนาคตไม่นานเธอก็จะเจอปัญหาอีก แต่ระหว่างนี้ดร.ภาคินได้แต่สงสารคนไข้ที่ไปหาเธอ)
คนใหม่ๆ ที่เข้ามาประกอบอาชีพด้านนี้ตามกระแส ก็จะยังคง Regression ไปเรื่อยๆ เพราะรู้สึกพึงพอใจที่ทำให้คนอื่นร้องไห้หนักมาก ทางจิตวิทยาถือว่าผู้บำบัดคนนั้นก็เป็นคนป่วยทางจิตอย่างหนึ่ง มีความสุขที่ได้เห็นคนอื่น (Sadism) เข้าในภาวะทุกข์ทรมาน ขอเรียนย้ำอีกครั้งว่า Regression ไม่จำเป็นต้องทำกับผู้ป่วยทุกราย ผู้ทำการสะกดจิตต้องประเมินว่าคนนั้นมีสภาวะจิตพร้อมทำ Regression หรือไม่ ถ้าผู้ทำการสะกดจิตทำพร่ำเพรื่อ ไม่มีความรู้ในการประเมิน ก็จะสร้างปัญหาระยะยาวให้กับคนไข้ที่ไม่มีความพร้อมในการทำ regression และนักบำบัดคนนั้นก็เป็นแค่สิบแปดมงกุฎเท่านั้น
ดร.ภาคิน ธราธรศิริ
22 เม.ย. 58